โรคจอประสาทตาเสื่อม ( AMD )ป้องกันด้วย ไอไบ้ร์ท(I-BRYTE)
โรคจอประสาทตาเสื่อม เป็นโรคที่มีความผิดปรกติเกิดขึ้นที่จุดกลางรับภาพของจอประสาทตา
(Macula) ซึ่งเป็นส่วนที่ไวต่อการมองเห็นมากที่สุด โดยผู้ป่วยมักจะไม่สังเกตเห็นถึงความผิดปรกติในระยะเริ่ม
ต้น มารู้ตัวเมื่อมีการสูญเสียการมองเห็นเกิดขึ้นแล้ว อย่างไรก็ตาม โรคจอประสาทตาเสื่อมจะทำให้สูณเสียการมองเห็นเฉพาะตรงกลางภาพ
โดยที่ผู้ป่วยยังสามารถมองเห็นบริเวณขอบด้านข้างของภาพได้อยู่ โรคนี้มีอุบัติการสูงขึ้นมากในกลุ่มอายุตั้งแต่
65 ปีขึ้นไป
เป็นสาเหตุสำคัญอย่างหนึ่งของภาวะตาบอดแบบถาวรในผู้สูงอายุ บุคคลที่มีความเสี่ยงที่จะเกิดโรคจอประสาทตาเสื่อม
คือ ผู้สูงอายุ ดังนั้นผู้มีอายุตั้งแต่ 65
ปีขึ้นไปจึงควรได้รับการตรวจจอประสาทตาทุก 1-2 ปี นอกจากนี้ การสูบบุหรี่
โรคความดันโลหิตสูง เบาหวาน คลอเลสเตอรอล สูง
และประวัติบุคคลในครอบครัวเคยเป็นโรคนี้ ล้วนเป็นปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้มีโอกาสเกิดโรคนี้ได้มากกว่าคนทั่วไป
ชนิดของจอประสาทตาเสื่อม
โรคจอประสาทตาเสื่อมมีลักษณะของโรค 2 รูปแบบ คือ
1.แบบแห้ง หรือแบบเสื่อมช้า (Dry หรือ Atrophic AMD) เป็นรูปแบบที่พบได้มากที่สุด
โดยเซล จอประสาทตาจะค่อยๆเสื่อมเสียไปอย่างช้าๆ
ความสามารถในการมองเห็นจะค่อยๆลดลงตามอายุที่เพิ่มขึ้นอย่างช้าๆ
จนผู้ป่วยแทบไม่ทันได้สังเกตุ
2.แบบเปียก หรือแบบเร็ว (Wet หรือ Neovascular AMD) พบประมาณร้อยละ 10-15 ของโรคจอประสาทตาเสื่อมทั้งหมด จะเกิดการสูญเสียการมองเห็นอย่างรวดเร็วทันที
เป็นผลจากจุดกลางรับภาพจอประสาทตาบวมและ/หรือมีเลือดออกจากเส้นเลือดผิดปรกติใต้จอประสาทต(Choroidal
neovascular membrane)
เราสามารถดูแลตัวเองเพื่อลดโอกาสการเกิดโรคและการตาบอดจากโรคได้ โดย
1.หลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงต่างๆเช่น งดสูบบุหรี่
รวมทั้งหลีกเลี่ยงจากควันบุหรี่ด้วย งดอาหารที่มีไขมันสูง
ถ้ามีโรคที่เป็นปัจจัยเสี่ยงเช่น
ความดันโลหิตสูง เบาหวาน ต้องรักษาและควบคุมให้อยู่ในเกรณ์ปรกติ
2.หมั่นออกกำลังกายแบบ aerobic exercise อย่างสม่ำเสมอโดยเลือกประเภทให้เหมาะสมกับสภาพร่างกาย
เช่น เดินเร็ว ปั่นจักรยานอยู่กับที่ ว่ายน้ำ ในผู้สูงอายุหรือผู้มีปัญหาเรื่องข้อ
การทำกายบริหารในสระน้ำจะช่วยให้ออกกำลังได้ดี
โดยต้องมีเกรณ์ในการตรวจวัดชีพจรขณะออกกำลังกายให้เหมาะสมตามอายุและสภาพร่างกายด้วยจึงจะได้ผลดีและสามารถขอคำแนะนำจากแพทย์ได้
3.หลีกเลี่ยงแสงแดดจ้า ใส่แว่นตากันแดดเวลาออกนอกอาคารสถานที่
โดยเลือกเลนส์แว่นตาที่สามารถป้องกันแสงสีฟ้าและรังสี UV ได้ 99-100% และควรลดทอนความจ้าของแสงลงได้ 70-80%
4.รับประทานอาหาร ผัก ผลไม้ที่มีสารต้านอนุมูลอิสระที่เป็นประโยชน์ต่อดวงตา
พบว่าสารต้านอนุมูลอิสระชนิด lutein/zeaxanthin มีอยู่ที่ตาในปริมาณสูงและมีบทบาทสำคัญในการป้องกันการเสื่อมของจอประสาทตาและเลนส์แก้วตา
อาหารที่มีสารนี้ในปริมาณสูงได้แก่ ไข่แดง มีมากที่สุด รองลงไปได้แก่ผลไม้และผัก
ผลไม้ ได้แก่ ข้าวโพดเหลือง ผลกีวี องุ่นแดงไร้เมล็ด ฟักทอง ผัก ได้แก่ ผัก zucchini ผักขม(spinach) แตงกวา ถั่วลิสง เป็นต้น
สำหรับผักใบเขียวเข้มชนิดต่างๆของไทย ก็เชื่อว่ามีสารนี้อยู่มากเช่นกัน
5.การรับประทานวิตามินหรือสารอาหารทดแทนในรูปของยาสำเร็จรูป ควรให้จักษุแพทย์ตรวจดูสภาพจอประสาทตาก่อนว่ามีความจำเป็นที่จะต้องได้รับยาเสริมหรือไม่
เพราะในยาพวกนี้มีปริมาณวิตามิน และสารอาหารทดแทนในปริมาณสูงมาก
การรับประทานโดยไม่จำเป็นอาจทำให้มีการสะสมจนก่อให้เกิดผลเสียต่อร่างกายได้
และจากผลการศึกษาพบว่ายาในกลุ่มนี้ไม่สามารถป้องกันการเกิดโรค
หรือรักษาการมองเห็นที่เสียไปแล้วให้ดีขึ้นได้ แต่ช่วยลดความเสี่ยงของโรคจอประสาทตาเสื่อมไม่ให้เข้าสู่ระยะรุนแรงได้
ดังนั้นจึงควรปรึกษาแพทย์ก่อนซื้นมารับประทานเอง
6.เข้ารับการตรวจสุขภาพตาและจอประสาทตาเป็นระยะตามคำแนะนำในแต่ละช่วงอายุ
และหมั่นคอยสังเกตการมองเห็นในตาแต่ละข้างว่าปรกติดีหรือไม่ ถ้าไม่แน่ใจควรรีบปรึกษาแพทย์
ไม่ควรรอจนมีอาการตามัวอย่างชัดเจน เพราะอาจแก้ไขได้ยาก
ปัจจุบัน ป้องกันปัญหา โรคจอประสาทตาเสื่อม ด้วยผลิตภัณฑ์ ไอไบ้ร์ท(I-BRYTE)
วิธีรับประทานไอไบ้ร์ท
สำหรับผู้ป่วยโรคตา ให้รับประทานวันละ
1 ครั้ง ครั้งละ 2 แคปซูล
สำหรับรับประทานเป็นอาหารเสริม ผู้ใหญ่
วันละ 1 ครั้ง ครั้งละ 1 แคปซูล
ดูข้อมูลที่ http://ibrytemir.blogspot.com
ขนาดและราคา 1 ขวด 30 แคปซูล ราคา 1,900 บาท
บริการส่งฟรีทั่วประเทศไม่คิดค่าส่ง
สั่งซื้อที่
คุณ วีระชัย ทองสา
ID Line : weerachaicoffee
โทร. 084-6822645 , 085-0250423(Line)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น